อาถรรพ์ไอยคุปต์ |
---|
MUMMY AMEN RA
เจ้าหญิง Amen Ra คือ พระมเหสีของฟาโรห์ ช่วงที่เจ้าหญิง Amen Ra ยังมีชีวิตอยู่ พระองค์มีคำสั่งให้นำชายฉกรรจ์กว่า 100 คน ขายเป็นทาส มิฉะนั้นจะถูกประหารอย่างทารุณ จนกระทั้งเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ถูกชู้รักคนหนึ่งแทงจนสิ้นพระชนม์ พระศพของพระองค์จะต้องถูกนำไปทำเป็นมัมมี่ตามธรรมเนียมของอียิปต์ และมีคำสาปและมนต์จารึกไว้บนผ้ารอบกายว่า
"มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์ มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติอันน่าสยดสยองทุกวัน มันต้องมีอันเป็นไปทุกคน"
พระวรกายของพระนางถูกเก็บไว้พีระมิดในโลงหิน พร้อมทรัพย์สมบัติ แต่ในที่สุดโจรขโมยสุสานได้ขโมยสมบัติไปจนหมด เหลือทิ้งไว้แต่มัมมี่ของเจ้าหญิง Amen Ra ที่ไร้ค่าเท่านั้น
อีก 3,000 ปีต่อมา ในสมัยวิกตอเรียน มัมมี่กำลังกลายเป็นที่นิยม ผู้คนที่ร่ำรวยต่างซื้อมัมมี่ไปไว้เป็นเครื่องประดับบ้าน
ปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่ม 4 คน ชาวอังกฤษ ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่เจ้าหญิง Amen Ra หีบหนึ่ง เมื่อพวกเขาเห็นแล้วก็เกิดอยากได้ จนต้องมีการจับฉลาก ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันปอนด์
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายคนนั้นเดินตรงไปยังทะเลทราย เขาบอกว่าจะออกไปเดินเล่น แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย
วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนที่เหลือถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิงบาดเจ็บ ต้องตัดแขนทิ้ง เพื่อช่วยชีวิต
ชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่า ธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ชายคนที่4 เกิดเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงจนตกงาน กลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามถนน
ค.ศ.1920 นักโบราณคดีชาวอเมริกัน เดินทางไปพบกับ ดักลาส เมอร์เรย์ นักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษ ที่บ้านพักในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เธอต้องการติดต่อขายหีบพระศพของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณชื่อ เจ้าหญิง "Amen Ra" ให้เมอร์เรย์
และทันทีที่เมอร์เรย์เห็นหีบพระศพเคลือบด้วยทองคำเหลืองอร่ามตระการตาเข้ามีอายุประมาณ 1,600 ปีก่อนคริสตศักราชเท่านั้น นักโบราณคดีอเมริกันเล่าว่า หีบพระศพใบนี้ ค้นพบที่วิหารอะมอนรา ในธีบีส อันเป็นบริเวณที่เก็บพระศพของเจ้าหญิงอียิปต์โบราณมากมาย เมอร์เรย์ไม่ได้นึกเสียดายเงินก้อนใหญ่ที่เขาจ่ายให้นักโบราณคดีผู้นั้น
เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องคำสาป
ต่อจากนั้นไม่นาน นักโบราณคดีอเมริกันที่เพิ่งขายหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ใบนี้ให้ หลังจากที่รับเช็คเงินสดจากเขาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เสียชีวิตอย่างลึกลับ เมอร์เรย์ไม่เชื่อว่าจะมีความเร้นลับอะไรในศตวรรษที่ 19 ได้อีก เขาจึงส่งหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ไปเก็บไว้ที่บ้านในประเทศอังกฤษ
สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง สามวันหลังจากนั้น เขาไปซ้อมยิงปืนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุเข้าที่แขนของเมอร์เรย์
แพทย์ต้องตัดแขนเขาทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงไป
อุบัติเหตุคราวนี้ ทำให้เขาต้องปล่อยหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra เดินทางไปล่วงหน้า ส่วนตัวเขาจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นในอียิปต์จนแน่ใจว่าอาการไม่กำเริบ จึงค่อยตามไป หลังจากนั้น เมื่อบาดแผลของเขาดีขึ้น เมอร์เรย์ก็รีบเดินทางไปอังกฤษ แต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ
เพื่อนของเขาที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra 2 คน และหญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของเขาอีก 1 คน ตายพร้อมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ เขาจัดการนำหีบออกจากท่าเรือเก็บไว้ในบ้าน และตัดสินใจเปิดหีบออกดูพระศพเจ้าหญิง Amen Ra มันดูเหมือนใบหน้าของคนยังมีชีวิตอยู่และจ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาอาฆาตแค้น
เขาเริ่มเชื่อในคำสาป และคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะนำหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ไปให้พ้นตัว ในที่สุดเพื่อนหญิงคนสนิท ที่เคยร่วมชั้นเรียนตั้งแต่เด็ก ยอมรับเอาหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ไป หญิงผู้ไม่รู้คำสาป ไม่นานนัก แม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน ต่อมาเธอเองก็ถูกสามีทอดทิ้ง แล้วล้มป่วยด้วยโรคประหลาด ทำให้เธอรีบนำหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra มาคืนให้เมอร์เรย์ เขาจึงมอบหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ
ทางพิพิธภัณฑ์จึงยินดีรับหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra แล้วรีบจัดแสดงทันที โดยจัดสถานที่วางหีบพระศพให้ดูเหมือนบรรยากาศอียิปต์โบราณ แล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชม ยามที่เฝ้าได้ยินเสียงทุบตีอย่างบ้าคลั่งออกมาจากห้องนั้น และมีเสียงร้องไห้ออกมาจากโลงศพเจ้าหญิง Amen Ra ยามคนหนึ่งได้ตายในหน้าที่ ต่อมามีนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง กำลังถ่ายภาพหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ก็มีอันล้มชักขาดใจตายคาที่โดยไม่มีสาเหตุ นักอียิปต์วิทยาผู้แตะต้องหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra เพื่อการจัดแสดง นอนตาเหลือกเหมือนตกใจกลัวอะไรสักอย่างสุดขีดจนหัวใจวายกระทันหันตายอยู่บนเตียงในห้องนอน หนังสือพิมพ์อังกฤษเอาข่าวนี้ไปตีพิมพ์ กลายเป็นข่าวโด่งดังทำให้ประชาชนหวาดกลัว มีผู้ชมคนหนึ่งใช้ผ้าปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพเจ้าหญิง Amen Ra ต่อมาลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัด จนไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้หีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra อีก
เจ้าหน้าที่จึงย้ายหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ลงมาที่ห้องใต้ดิน แต่ใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมก็ตายอยู่บนโต๊ะทำงาน เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่อง ช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพเจ้าหญิง Amen Ra พอล้างฟิล์มออกมากลายเป็นใบหน้าที่สยดสยองน่ากลัว ช่างภาพได้กลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ในเวลาต่อมา ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ จึงตัดสินใจมอบหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ใบนี้ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
ทางนิวยอร์คก็ยอมรับด้วยความยินดี ตามที่ได้ตกลงราคาเป็นมูลค่าที่สูงถึง 500,000 ดอลลาร์ โดยให้ทางอังกฤษจัดส่งโดยเรือที่ดีที่สุด หรูหรา ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นก็คือ เรือ RMS Titanic หรือ SS Titanic ซึ่งได้รับฉายาว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" สร้างโดยโลหะและรองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,433 คน ยาว 269.0622 เมตร กว้าง 28.194 เมตร หนัก 46,328 ตันอิมพีเรียล(47,071,434.4681 กิโลกรัม) เรือสำรองช่วยชีวิตหรือเรือบดนั้นเพียงพอสำหรับผู้โดยสารเพียง 1,178 คนเท่านั้น แบ่งออกเป็น 9 ชั้น แต่จะขนหีบพระศพไปกับเรืออย่างเปิดเผย ก็กลัวผู้คนจะแตกตื่น จึงต้องทำอย่างเป็นความลับ ซึ่งฝ่ายขนส่งจึงได้บรรจุหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ใส่ลังเป็นอย่างดี แล้วนำไปซ่อนไว้ใต้ท้องเรือ Titanic ไม่มีผู้โดยสารทราบเลยแม้แต่คนเดียวว่า มีหีบพระศพอาถรรพ์บรรทุกมากับเรือด้วย ผู้รู้เรื่องนี้ดีก็คือบริษัทผู้จัดส่งบริษัท White Star Line เท่านั้น เริ่มเริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1909 สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1911 ที่ Belfast, Ireland
การเดินทางของ Titanic ครั้งแรก เริ่มการเดินทางที่ Southampton, England ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมโดยกัปตัน Edward J. Smith เพื่อเดินทางไปยังนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางครั้งนั้น มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2,217 คน คืนวันที่14 เมษายน เวลา 22.30 น. พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" ซึ่งกำลังติดอยู่ในกลุ่มก้อนน้ำแข็งห่างจากเรือ Titanic ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้แก่เรืออื่นๆ ซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางที่ใกล้เคียง ให้ระวังภัยที่อาจจะเกิดจากการชนภูเขาน้ำแข็งภายในบริเวณนี้ ขณะที่กำลังเรียกขานเรือ Titanic เพื่อแจ้งให้ระมัดระวังเหตุภัยพิบัตินี้เช่นกัน ก็ได้รับสัญญาณตอบกลับมาในลักษณะที่ไม่ค่อยสุภาพว่าให้หยุดเตือนเสียที เพราะสัญญาณเข้าไปรบกวนการทำงานของเขากับ Cape Race พนักงานวิทยุประจำเรือคาลิฟอร์เนียน จึงเลิกทำการติดต่อ
เวลาประมาณ 23.40 น. เรือ Titanic ได้พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งซึ่งมีความสูงพ้นระดับน้ำทะเล 55-60 ฟิต ด้วยความเร็ว 25 น็อตครึ่ง ทำให้ตัวเรือแตก น้ำทะเลไหลท่วมท้นเข้ามาในตัวเรือมีระดับสูงกว่ากระดูกงู14 ฟิต ภายใน 10 นาที แล้วไหลทะลักเข้าไปสู่ห้องต่างๆ อย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้เรือเริ่มอับปาง ทางกราบขวาของหัวเรือเป็นจุดอ่อน ทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ ทำให้น้ำท่วมห้องเครื่องทั้ง 5 สูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้น F เริ่มไหลขึ้นชั้น E น้ำ จึงเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ
ในขณะที่เรือไททานิคกำลังจมสู่ท้องทะเล
หีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ได้ถูกนำขึ้นไปไว้อย่างปลอดภัยบทเรือชูชีพที่ช่วยชีวิตผู้โดยสาร
เวลาประมาณ 04.20 น. เรือโดยสารขนาดใหญ่ชื่อ RMS Carpathia ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือบดทั้งหมด การอับปางของเรือ Titanic ครั้งนี้ เป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ จากผู้โดยสารและลูกเรือ 2,217 ชีวิต รอดชีวิตเพียง 704 ชีวิต เสียชีวิตทั้งหมด 1,513 ราย ในจำนวนนี้มีมหาเศรษฐีอเมริกันรวมอยู่ด้วย 3 คน
หลังจากนั้นได้มีการขนส่งผู้รอดชีวิตและหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ต่อไปยังนิวยอร์ก ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1912 แต่เกิดเหตุทำให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบ ตัดสินใจส่งหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra กลับคืนสู่อียิปต์ ด้วยเรือ The Express of Ireland สุดท้ายเรือลำนี้ก็ได้จมลงสู่มหาสมุทรอีกครั้ง พร้อมกับชีวิตของลูกเรือทุกคน หีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ไม่ได้จมอยู่กับเรือ แต่สามารถกู้ขึ้นมาได้โดยเรือชูชีพ หลังจากนั้นได้พยายามที่จะส่งหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra กลับคืนสู่อียิปต์อีกครั้ง ด้วยเรือ Lusitania ซึ่งก็ได้อัปปางลงอีก เป็นผลจาก Torpedo ในสงครามโลก และแล้วหีบพระศพเจ้าหญิง Amen Ra ก็ได้ดำดิ่งลงสู่ก้นสมุทร ไปพร้อมกับสัมภาระของเรือ Lusitania โดยไม่สามารถกู้ขึ้นมาได้ หีบพระศพของพระนาง Amen Ra จึงสถิตย์อยู่ใต้มหาสมุทร The Irish Channel อย่างเงียบสงบตลอดกาล
ปรารถนานักหรือ
ชื่อ..เกียรติยศ..มหาศาล
สุดท้าย..ก็สลาย..อันตรธาน
เป็นอาหารให้..กาลเวลารอยรั่วนิดเดียว
อาจจะทำให้เรือใหญ่จมได้
UP | HOME |
---|