กรรมฐาน |
---|
กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งแห่งการทำงานแห่งจิต ซึ่งใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา อุปกรณ์หรืออุบายหรือกลวิธีในการฝึกอบรมจิตเหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิ เป็นสิ่งที่นำมาให้จิตกำหนด เพื่อให้จิตสงบ ไม่เตลิดเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย
วิธีปฎิบัติกรรมฐานเบื้องต้น
การเดินจงกรม
ก่อนเดินให้ยกมือไขว้หลัง มือขวาจับข้อมือซ้าย วางไว้ตรงกระเบนเหน็บ ยืนตัวตรง เงยหน้า หลับตา ให้ทำความรู้สึกโดย จิต สติ รู้อยู่ตั้งแต่กลางกระหม่อมแล้วกำหนด ยืนหนอ 5 ครั้ง เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงปลายเท้า เบื้องบนตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา ยืนหนอ 5 ครั้ง แล้ว หลับตา ตั้งตรง ๆ เอาจิตปักไว้ที่ศีรษะ ทำสติตามดังนี้ ยืน……..ถึงสะดือ หนอ…..ถึงปลายเท้า หลับตา นึกมโนภาพ เอาจิตมอง ไม่ใช่มองเห็นด้วยสายตา ยืน……จากปลายเท้าถึงสะดือ หยุด แล้วหนอ…….ถึงปลายผม อย่างละครึ่ง แล้วภาวนา ยืน…หนอ จากปลายผม ถึงปลายเท้า ได้ทันที โดยไม่ต้องไปหยุดที่สะดือแล้ว คล่องแคล่วว่องไว ถูกต้อง
ขณะนั้นให้สติอยู่ที่ร่างกายอย่าให้ออกไปนอกกาย แล้วลืมตาขึ้น ก้มหน้า ทอดสายตาไปข้างหน้าประมาณ 4 ศอก สติจับอยู่ที่เท้า การเดิน กำหนดว่า ขวา...ย่างหนอ กำหนดในใจ คำว่า ขวา ต้องยกส้นเท้าขวาขึ้นจากพื้น 2 นิ้ว เท้ากับใจนึกต้องให้พร้อมกัน คำว่า ย่าง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าให้ช้าที่สุด เท้ายังไม่เหยียบพื้น ส่วนคำว่า หนอ เท้าเหยียบพื้นเต็มฝ่าเท้า ห้ามให้ส้นเท้าหลังเปิด เวลายกเท้าซ้ายก็เหมือนกัน กำหนดคำว่า ซ้าย ย่าง หนอ คงปฏิบัติเช่นเดียวกับ ขวา ย่าง หนอ ระยะก้าวในการเดินห่างกัน 1 คืบ เป็นอย่างมาก การทรงตัวขณะก้าวจะได้ดีขึ้น เมื่อเดินสุดสถานที่ๆใช้เดินแล้ว พยายามใช้เท้าขวาเป็นหลักคือ ขวา ย่างหนอ แล้วตามด้วย เท้าซ้าย ย่างหนอ จะประกบกันพอดี แล้วกำหนดว่า หยุดหนอ จากนั้นเงยหน้า หลับตากำหนด ยืนหนอ ช้า ๆ อีก 5 ครั้ง เหมือนกับที่ได้อธิบายมาแล้ว ลืมตา ก้มหน้า ท่ากลับ การกลับกำหนดว่า กลับหนอ 4 ครั้ง คำว่า กลับหนอ
ครั้งที่1 ยกปลายเท้าขวา ใช้ส้นเท้าขวาหมุนตัวไปทางขวา 90 องศา
ครั้งที่2 ลากเท้าซ้ายมาติดเท้าขวา
ครั้งที่3 ทำเหมือนครั้งที่1
ครั้งที่4 ทำเหมือนครั้งที่2
เมื่อฝึกจนชำนาญแล้ว สามารถกำหนดให้ละเอียดขึ้น ด้วยการหมุนตัวจาก 90 องศา เป็น 45 องศา จะเป็นการกลับหนอทั้งหมด 8 ครั้ง
เมื่ออยู่ในท่ากลับหลังแล้ว ต่อไปกำหนด ยืนหนอ ช้า ๆ อีก 5 ครั้ง ลืมตา ก้มหน้า กำหนดเดินต่อไป ทำเช่นนี้จนหมดเวลาที่ต้องการ
การนั่ง
ทำต่อจากการเดินจงกรม อย่าให้ขาดตอน เมื่อเดินจงกรมถึงที่จะนั่ง ให้กำหนด ยืนหนอ อีก 5 ครั้ง ตามที่กระทำมาแล้วก่อน แล้วกำหนดปล่อยมือลงข้างตัวว่า ปล่อยมือหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ช้า ๆ จนกว่าจะลงสุด เวลานั่งค่อย ๆ ย่อตัวลง พร้อมกับกำหนดตามการที่ทำไปจริง ๆ เช่น ย่อตัวหนอ ๆ ๆ ๆ เท้าพื้นหนอ ๆ ๆ คุกเข่าหนอ ๆ ๆ นั่งหนอ ๆ ๆ
วิธีนั่ง นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรง หลับตา เอาสติมาจับอยู่ที่สะดือที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ ใจนึกกับท้องที่พองให้ทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบต้องทันกัน ข้อสำคัญให้สติจับอยู่ที่ พองยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้องให้มีความรู้สึก ตามความเป็นจริงว่าท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาทางหลัง อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด
เมื่อมีเวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน ต้องมีความอดทนเป็นการสร้างขันติบารมีไปด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็ล้มเหลว
ขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้ามีเวทนาความเจ็บ ปวด เมื่อยคัน ๆ เกิดขึ้นให้หยุดเดิน หรือหยุดกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอ ๆ ๆ เจ็บหนอ ๆ ๆ คันหนอ ๆ ๆ กำหนดไปเรื่อย ๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้วให้กำหนดนั่งหรือเดินต่อไป
จิตเวลานั่งอยู่หรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นา ๆ ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด แม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนดเช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอ ๆ ๆ ๆ เสียใจหนอ ๆ ๆ ๆ โกรธหนอ ๆ ๆ ๆ
การนอน
เวลานอนค่อย ๆ เอนตัวนอนพร้อมกับกำหนดว่า นอนหนอ ๆ ๆ ๆ จนกว่าจะนอนเรียบร้อย ขณะนั้นให้เอาสติจับอยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนแล้วให้เอาสติมาจับที่ท้อง แล้วกำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ ต่อไปเรื่อย ๆ ให้คอยสังเกตให้ดีว่า จะหลับไป ตอนพอง หรือตอนยุบ
อิริยาบถต่าง ๆ การเดินไปในที่ต่าง ๆ การเข้าห้องน้ำ การเข้าห้องส้วม การรับประทานอาหาร และการกระทำกิจการงานทั้งปวง ผู้ปฏิบัติต้องมีสติกำหนดอยู่ทุกขณะในอาการเหล่านี้ คือ มีสติสัมปชัญญะ เป็นปัจจุบัน อยู่ตลอดเวลา
สรุปการกำหนดต่าง ๆ ดังนี้
1. ตาเห็นรูป จะหลับตาหรือลืมตาก็แล้วแต่ ให้ตั้งสติไว้ที่ตา กำหนดว่า เห็นหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ละความพอใจและความไม่พอใจออกเสีย ถ้าหลับตาอยู่ ให้กำหนดไปจนกว่าภาพนั้นจะหายไป
2. หูได้ยินเสียง ให้ตั้งสติไว้ที่หู กำหนดว่า เสียงหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าเสียง ก็สักแต่ว่าเสียง ละความพอใจและความไม่พอใจออกไปให้ได้
3. จมูกได้กลิ่น ตั้งสติไว้ที่จมูก กำหนดว่า กลิ่นหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่ากลิ่น ก็สักแต่ว่ากลิ่น ละความพอใจและความไม่พอใจออก
4. ลิ้นได้รส ให้ตั้งสติไว้ที่ลิ้น กำหนดว่า รสหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่ารส ก็สักแต่ว่ารส ละความพอใจและความไม่พอใจออก
5. การถูกต้องสัมผัส ตั้งสติไว้ตรงที่สัมผัส กำหนดตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ละความพอใจและความไม่พอใจออกได้
6. ใจนึกคิดอารมณ์ ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ กำหนดว่า คิดหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าความนึกคิดจะหายไป
7. อาการบางอย่างเกิดขึ้น กำหนดไม่ทัน กำหนดไม่ถูกว่าจะกำหนดอย่างไร ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ กำหนดว่า รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการนั้นจะหายไป
การที่เรากำหนดจิต ตั้งสติไว้เช่นนี้ เพราะว่าจิตของเราอยู่ใต้บังคับของความโลภ โกรธ หลง ตาเห็นรูป ชอบใจ เป็นโลภะ ไม่ชอบใจ เป็นโทสะ ขาดสติไม่ได้กำหนด เป็นโมหะ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกต้องสัมผัส ก็เช่นเดียวกัน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยเอาสติเข้าไปตั้งกำกับตามอายตนะนั้น เมื่อปฏิบัติได้ผลแก่กล้าแล้ว ก็จะเข้าตัดที่ต่อของอายตนะต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ให้ติดต่อกันได้ คือ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ทำความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฎให้เห็น และได้ยินนั้น รูป และ เสียงที่ได้เห็นและได้ยินนั้นก็จะดับไป เกิดและดับ อยู่ที่นั่นเอง ไม่ไหลเข้ามาภายใน อกุศลธรรมความทุกข์ร้อนใจที่คอยจะติดตาม รูป เสียง และอายตนะภายนอกอื่น ๆ เข้ามาก็เข้าไม่ได้
สติที่เกิดขึ้นตอนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น จะคอยสกัดกั้นอกุศลธรรม และความทุกข์ร้อนใจที่จะเข้ามาทางอายตนะ สติเพ่งอยู่ที่ รูป นาม เมื่อเพ่งเล็งอยู่ก็ย่อมเห็นความเกิดดับของ รูป นาม ที่ดำเนินไปตามอายตนะต่าง ๆ อย่างไม่ขาดสาย การเห็นการเกิดดับของ รูป นาม นั้นจะนำไปสู่การเห็น พระไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่มีตัวตนของสังขาร หรือ อัตภาพอย่างแจ่มแจ้ง
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
ประโยชน์ของการทำสมาธิวิปัสนากรรมฐาน
มีสติสัมปชัญญะดี รู้ตัวตลอดเวลา ทำให้จิตใจสงบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ผ่อนคลายจากความตึงเครียด ตัดขาดจากอารมณ์โลภ โกรธ หลง เช่น ถ้าใจเกลียดใครอยู่ให้ภาวนาว่า เกลียดหนอๆๆๆๆ ถ้าใจคิดอิจฉาริษยาอยู่ก็ให้ภาวนาว่า อิจฉาหนอๆๆๆๆ ทำให้รู้จิตใจตนเองตลอดเวลาว่ากำลังคิดดีหรือคิดเลวอยู่ ไปเกลียดเค้าอิจฉาเค้าก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาก็ต้องดับ ไม่มีใครหลีกได้พ้นสักคน พบเพื่อลา มาเพื่อจาก รู้จักแยกแยะผิด ชอบ ชั่ว ดี ทำให้จิตใจสะอาดมากยิ่งขึ้น ถ้าฝึกจนได้ถึงขั้นสูงจะได้รับความสุขเป็นเลิศ และได้ญาณวิเศษ รู้ใจคนอื่นได้ เช่น ตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติ มองเห็นอนาคต เป็นต้น
นอกจากนี้กรรมฐานยังสามารถแก้กรรมได้ ด้วยการขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรในระหว่างปฏิบัติสมาธิ และแผ่เมตตาทุกครั้งก่อนออกจากการปฏิบัติ จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติคือการบรรลุไปสู่นิพพานตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะไม่ต้องกลับลงมาเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่มีวันจบสิ้น
สุขอื่น...ยิ่งกว่าความสงบไม่มี
UP | HOME |
---|